บทที่ 15 ชนวนเหตุ (100%)

“ขอบใจเธอมากนะ รักเธอที่สุด”

นักเขียนสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนรัก นลินนิภาพึมพำปลอบประโลม แล้วเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายไปหาอะไรกินเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง

“เราจะย้ายบ้านจริงๆ เหรอคะแม่?”

บูรณิมาเอ่ยถามมารดาในยามสายของสุดสัปดาห์ ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง คนติดบ้านและรักบ้านมากอย่างแม่จะทนห่างบ้านที่อยู่มานานได้ ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายของพ่อ แม่ และเธอ อีกทั้งตัวเธอเองก็รู้สึกใจหาย เพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องย้ายจากบ้านไปอยู่ที่อื่น

“ว่าไงคะพ่อ?”

ครั้นแม่ไม่ตอบเธอก็หันไปถามพ่อแทน

“อืม ก็อย่างที่แม่เขาบอกนั่นแหละลูก”

“รีบเก็บของให้เสร็จ เราจะย้ายออกจากที่นี่ภายในสามวัน”

คราวนี้ผู้เป็นแม่ที่นั่งกอดอกอยู่ข้างๆ พ่อเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางไม่ได้อยากย้ายไปไหนสักนิด แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างทำให้ต้องพาสามีและลูกหนีไปอยู่ที่อื่น หนีไปให้ไกล

“สามวัน!”

บูรณิมาทวนคำตาโต

“ใช่”

“ทำไมมันกะทันหันจัง แล้วงานของแม่ล่ะคะ”

“อย่าถามมากได้ไหมยายบี๋ แม่บอกให้ทำอะไรก็ไปทำ”

แม่ขึ้นเสียงเกือบเป็นตวาดใส่ จนบูรณิมาทำหน้าจ๋อย ที่จริงแม่ของเธอมีนิสัยน่ารัก เป็นแม่ที่รักลูกและเป็นภรรยาที่รักสามีมากๆ แต่ระยะหลังๆ มานี้แม่ของเธอกลับเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งเธอคิดว่าคงมีสาเหตุมาจากเรื่องงาน เพราะช่วงนี้เกิดโรคระบาดทำให้แม่ต้องทำงานหนักขึ้น เลยอาจพลอยทำให้มีภาวะเครียด และที่สำคัญก็คงหนีไม่พ้นเรื่องหนี้สินของพ่อ ที่มีคนมาทวงไม่เว้นแต่ละวัน

“รออีกสักอาทิตย์ได้ไหมคะ บี๋ขอปิดต้นฉบับนิยายก่อน”

นักเขียนสาวเอ่ยต่อรองอย่างร้อนใจ เนื่องจากว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เธอรีไรท์งานโค้งสุดท้าย จึงไม่อยากจะให้ทุกอย่างชะงัก อีกทั้งสำนักพิมพ์ก็โทรมาเร่งต้นฉบับยิกๆ

“งั้นบี๋ก็อยู่ที่นี่ แม่จะไปกับพ่อสองคน”

“แม่!”

หญิงสาวร้องเสียงหลง เพราะไม่คิดว่าแม่จะกล้าตัดสินใจเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่และพ่อจะทิ้งให้เธอต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง

“แม่กับพ่อจะทิ้งบี๋ได้ลงคอเหรอคะ”

น้ำเสียงสั่นเครือตัดพ้อ ตาแดงๆ

“แม่กับพ่อไม่ได้จะทิ้งบี๋ แต่ถ้าบี๋ไม่พร้อมที่จะย้ายออกจากที่นี่ บี๋ก็ต้อง…”

นางบูรณาเอ่ยเสียงสะท้าน ยังไม่ทันจะพูดให้จบประโยคเสียงข่าวด่วนในโทรทัศน์ก็ดังแทรกขึ้น และเนื้อหาของฮอตนิวส์ก็ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย

“แม่คะ นั่นข่าวโรงพยาบาลที่แม่ทำงานนี่คะ”

หญิงสาวว่าพลางชี้มือไปยังโทรทัศน์ ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเอ่ยเสริม

“ใช่ ในข่าวเอ่ยถึงแผนกที่คุณทำงานด้วย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”

“มะ…ไม่รู้ ฉันไม่รู้”

นางบูรณาปฏิเสธปากคอสั่น ออกอาการลนลาน ในจังหวะที่ลูกสาวกำลังจะกดรีโมตเพิ่มเสียงเพราะได้ยินเนื้อหาข่าวไม่ชัด ผู้เป็นแม่ก็รีบฉวยเอารีโมตมาปิดโทรทัศน์เสียดื้อๆ

“แม่ปิดโทรทัศน์ทำไมคะ บี๋กำลังฟังอยู่เลย เมื่อกี้ได้ยินว่ามีคนลอบเข้าไปทำร้ายคนไข้ในโรงพยาบาล เหมือนจะเป็นเรื่องคดีความของพี่นีราด้วย…”

เธอยังพูดไม่จบแม่ก็สวนขึ้นเสียก่อน

“ใช่ที่ไหนกัน บี๋หูฝาดแล้ว”

“ไม่นะคะ หนูได้ยินแบบนั้นจริงๆ”

“ผมก็ได้ยินเหมือนลูกนะคุณ เป็นเรื่องของนางแบบคนนั้น…”

คราวนี้นางบูรณาถลึงตาใส่สามีเป็นเชิงสั่งให้หยุดพูด ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงกระแอมเบาๆ แล้วเสหยิบกาแฟขึ้นจิบ เพราะปกติบ้านนี้ก็อยู่ภายใต้อาณัติของนางบูรณาอยู่แล้ว เรียกว่านางเป็นใหญ่ และมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง

“ไปยายบี๋ไปเก็บเสื้อผ้า”

“เก็บเสื้อผ้า”

เธอทวนคำทำหน้างง

“ใช่”

“แม่จะให้บี๋เก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ?”

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

“ย้ายไปอยู่ที่คอนโด แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ที่สำคัญห้ามโทรหาพ่อกับแม่เด็ดขาด หลังจากพ่อกับแม่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด และทุกอย่างลงตัวแล้ว แม่จะติดต่อมาเอง เข้าใจไหม?”

การตัดสินใจปุบปับทำให้คนเป็นลูกถึงกับอ้าปากค้าง ทั้งงงและตกใจระคนกัน

“แต่แม่คะ…”

“แม่บอกให้ไปเก็บเสื้อผ้า!”

นางบูรณาเริ่มเสียงแข็ง

“บี๋ไม่ไป บี๋จะอยู่กับพ่อกับแม่ บี๋จะไปต่างจังหวัดกับพ่อกับแม่”

“คุณอย่าบังคับลูกเลย ไหนคุณบอกว่าจะให้ลูกไปกับเราไง”

ผู้เป็นพ่อพยายามช่วยลูกสาว เอาจริงๆ เขากับภรรยาตกลงกันแล้วว่าจะพาลูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดด้วย สาเหตุที่ต้องย้ายบ้านกะทันหันก็เพราะตัวเขาเองล้วนๆ เขาทำธุรกิจล้มเหลว จนมีหนี้สินมากมายมหาศาล และที่ต้องย้ายบ้านก็เพื่อหนีเจ้าหนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอยู่ๆ ทำไมภรรยาถึงเปลี่ยนใจให้ลูกสาวไปอยู่คอนโด อีกทั้งยังนึกตงิดใจกับข่าวที่ได้ยินได้ฟังไปเมื่อครู่ เพราะสังเกตเห็นว่าภรรยาของเขามีท่าทีร้อนรนแปลกๆ จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ลูกสาวเก็บเสื้อผ้าย้ายไปอยู่ที่คอนโดแบบกะทันหัน ไม่แน่ว่าภรรยาของเขาอาจมีส่วนรู้เห็นอะไรสักอย่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลตามที่เป็นข่าว แต่หากจะซักถามอีกฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงไม่เหมาะ

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ยายบี๋ต้องย้ายไปอยู่ที่คอนโด และต้องไปเดี๋ยวนี้ด้วย”

“ไม่นะคะ! บี๋ไม่ไป!”

หญิงสาวยังคงยืนกรานคำเดิม ก่อนจะโผเข้ากอดผู้เป็นแม่ในสภาพน้ำตาคลอเบ้า ส่วนคนเป็นพ่อก็ได้แต่เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า ด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอกแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้

“ยายลูกดื้อ! ฉันบอกให้ไปเก็บเสื้อผ้า”

“บี๋ไม่ไป แม่อย่าไล่บี๋เลยนะคะ ได้โปรด…”

เธอวิงวอนปนสะอื้นฮัก

“แกต้องไป! ถ้าแกไม่ไปก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่!”

ที่สุดผู้เป็นแม่ก็เค้นเสียงกระด้างออกคำสั่ง น้ำคำประกาศิตที่สุดแสนทำร้ายหัวใจทำให้คนฟังถึงกับนิ่งงันด้วยความช็อกสุดขีด นางบูรณาจำใจแกะแขนเรียวออกจากเอว กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยอมถอยห่างออกไปง่ายๆ ตรงข้ามบูรณิมาพยายามไขว่คว้าสุดแขนทั้งน้ำตา หากแต่กลับถูกผลักออกห่าง ท่าทางที่พร้อมจะผลักไสเธอไปไกลห่างทุกขณะจิตของแม่ ทำให้บูรณิมานึกน้อยใจจนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

บทก่อนหน้า
บทถัดไป